วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ความคิดทางการเมืองยุคกลาง

ความคิดทางการเมืองยุคกลาง
อาจารย์ สุรชัย เจนประโคน

คำว่า “ยุคกลาง” หมายถึงช่วงระยะเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ห้า จนถึงศตวรรษที่ สิบสาม ของยุโรป เพราะก่อนศตวรรษที่ห้าเป็นยุคของโรมัน ส่วนหลังศตวรรษที่สิบสี่ก็เข้าสู่ยุคฟื้นฟูอารยธรรมกรีกและโรมันอย่างเต็มตัว หรือเรียกว่า “Renaissance” และที่สำคัญก็คือผู้คนชาวยุโรปในช่วงเวลาที่เรียกว่า “ยุคกลาง” นั้น มิได้ตระหนักสำนึกรู้ว่าพวกเขาอยู่ใน “ยุคกลาง” และมิได้สำนึกว่าพวกเขาอยู่ในยุคกลาง และพวกเขาเรียกยุคของเขาว่า “ยุคใหม่” (Modern) ด้วยเหตุที่หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ผู้คนในยุโรปต่างตระหนักว่ายุคสมัยหนึ่ง (ยุคแห่งความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน) ได้สิ้นสุดลงแล้ว
และได้เข้าสู่ยุค “หลังจักรวรรดิโรมัน” ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า “ยุคใหม่” และเรียกยุคของจักรวรรดิโรมัน ที่ล่มสลายไปว่าเป็น “ยุคโบราณ”
[1]
ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเข้าใจด้วยว่านัยความหมายของยุคสมัยใหม่ ของพวกเขานั้นแตกต่างไปจากความเข้าใจใน “ยุคสมัยใหม่” อย่างที่เราเข้าใจ กัน ในปัจจุบัน เพราะ “ยุคใหม่” ของพวกเขานั้นเป็นอะไรที่ ว่างเปล่า สูญเสีย ไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ เพราะความยิ่งใหญ่ได้หายไปพร้อมๆ กับการจบลงของยุคแห่งความรุ่งเรืองของจักรวรรดิโรมัน
พวกเขามองกลับไปที่ “ยุคโบราณ” อย่างชื่นชมและอาลัยอาวรณ์ ด้วยเหตุผลที่พวกเขาเชื่อว่าศิลปะวิทยาการหรือภูมิปัญญา “โบราณ” นั้นยิ่งใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าสู่ “ยุคใหม่” ที่ว่างเปล่าและต่ำต้อย จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องฟื้นฟู “ภูมิปัญญาโบราณอีกครั้งหนึ่ง การพยายามฟื้นฟูภูมิปัญญาโบราณให้กลับฟื้นคืนมานั้นได้ดำเนินไปตั้งแต่ศตวรรษที่ห้าจนถึงศตวรรษที่สิบห้า
แต่หลังจากการค้นพบทวีปใหม่ของโคลัมบัส และการค้นพบกฎธรรมชาติหรือกฎวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ของกาลิเลโอ ก็ได้เกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ที่ท้าทายความถูกต้องสมบูรณ์แบบของภูมิปัญญาโบราณอันยิ่งใหญ่ และได้นำไปสู่วิวาทะครั้งใหญ่ในหมู่ชนชั้นสูงและผู้ทรงปัญญาความรู้ในยุโรป ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ “การวิวาทะระหว่างผู้ที่นิยมภูมิปัญญาโบราณ และผู้ที่นิยมภูมิปัญญาสมัยใหม่” (the Quarrel between the Ancients and the Moderns)
[2]
วิวาทะ ที่ว่านี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายศตวรรษที่สิบหกเรื่อยมาจนถึงปลายศตวรรษที่สิบแปด และลงเอยด้วยชัยชนะของพวกที่นิยมภูมิปัญญาสมัยใหม่ โดยรูปธรรมของชัยชนะคือ “การปฏิวัติฝรั่งเศส 1789” ซึ่งล้มล้างสิ่งต่างๆ ของระบอบเก่า[3] โดยสิ้นเชิง ทำให้คนยุโรปตระหนักถึงการก้าวเข้าสู่ “ยุคสมัยใหม่” ที่แท้จริง ที่เลิกนิยมภูมิปัญญาโบราณและหันมาชื่นชมยกย่อง “ความรู้ใหม่” และการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดังนั้น จึงได้มีการเรียกขาน “ยุคใหม่” ที่อยู่ในช่วงระหว่าง ศตวรรษที่ห้าจนถึงศตวรรษที่สิบสามเสียใหม่ว่า “ยุคกลาง” อันหมายถึงยุคที่อยู่ระหว่าง ยุคโบราณ และยุคสมัยใหม่ และนี่เป็นที่มาของยุคกลาง ซึ่งไม่มีใครในยุคนั้นรู้ว่าตนอยู่ในยุคกลาง หรือเป็นคนยุคกลาง
เมื่อพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า “ความคิดทางการเมืองยุคกลาง” จะพบว่า ในการพยายามให้คำจำกัดความของหลักการสำคัญของความคิดทางการเมืองยุคกลางนั้นอาจกล่าวได้ว่า ยุคกลางคือยุคที่กลับหัวกลับหางกับยุคคลาสสิก เพราะในยุคคลาสสิกศาสนาเป็นแค่ฐานให้กับการเมือง แต่ในยุคกลาง ศาสนามีอิทธิพลครอบงำการเมือง แต่ในยุคกลาง ศาสนามีอิทธิพลครอบงำการเมือง และเป็นตัวกำหนดความชอบธรรมทางการเมืองด้วย โดยเชื่อว่าการดำรงอยู่ของสังคมจะต้องอิงอยู่กับความศรัทธาทางศาสนาที่ทุกคนต้องมีร่วมกัน
จากความเชื่อดังกล่าวนี้ทำให้สังคมสมัยกลางเป็นอาจักรของคริสต์ศาสนา
[4] และในทำนองกลับกัน เราก้กล่าวได้ว่า การสิ้นสุดของความคิดทางการเมืองยุคกลางในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตกได้เกิดขึ้นเมื่อสภาวะของการขึ้นต่อศาสนาของสังคมการเมืองทั้งในทางปฏิบัติและในทางทฤษฎีได้ยุติลง
ส่วนในโลกตะวันตก ยุโรปสมัยกลาง
[5] ถือกำเนิดขึ้นมาหลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ยุโรปอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิโรมันได้ก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพทางการเมือง และสังคมที่มีกลไกที่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดทั่วพื้นแถบเมดิเตอร์เรเนียน
แต่เมื่อราวศตวรรษที่ 4-5 โครงสร้างทั้งกมดที่เคยดำรงสืบเนื่องมาภายใต้อารยธรรมโรมันในบริเวณฝั่งตะวันตกของพื้นที่ดังกล่าวได้ล่มสลายลง ด้วยน้ำมือของพวกอนารยชนและชาวคริสต์
พวกอารยชนเหล่านี้ได้รับเอาอารยธรรมละตินของชาวโรมันมาในทำนองเดียวกันกับที่ชาวโรมันรับอารยธรรมตลอดจนศิลปะวิทยาการกรีกหลังจากได้พิชิตชาวกรีกได้แล้ว
เมื่อพิจารณาความคิดทางการเมืองยุคกลางภายใต้บริบทดังกล่าว จะพบว่ามีองค์ประกอบสำคัญสามส่วนนั้นคือ อิทธิพลของคริสต์ศาสนา อารยธรรมโรมันที่สืบต่อมาจากอารยธรรมกรีกและส่วนที่มาจากพวกอนารยชนเอง
ในองค์ประกอบแรก จะพบว่าโลกทัศน์ทางการเมืองแบบคริสต์ศาสนาอยู่ภายใต้อิทธิพลความเชื่อในเรื่องบาปดั้งเดิมของมนุษย์ (original sin) ซึ่งส่งผลให้พวกพระในคริสต์ศาสนาสรุปว่า ความจำเป็นในการใช้อำนาจทางการเมือง (authority) สืบเนื่องมาจากความชั่วร้ายในธรรมชาติ ของมนุษย์เอง ดังนั้นอำนาจทางการเมืองจึงมีไว้เพื่อทั้งลงโทษและแก้ไขบาปของมนุษย์
จะเห็นได้ว่า โลกทัศน์ทางการเมืองแบบคริสต์ศาสนานี้ตรงกันข้ามกับความคิดทางการเมืองในยุคคลาสสิกของเพลโตและอริสโตเติลที่อธิบายว่า การเมืองการปกครองเป็นเรื่องที่เป็นผลพวกของธรรมชาติของมนุษย์และเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์พบกับความสมบูรณ์ของความเป็นมนุษย์
ความคิดทางการเมืองยุคกลางจึงปฏิเสธความคิดของอริสโตเติลที่ว่า “มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นสัตว์การเมือง” โดยเฉพาะความคิดทางการเมืองยุคกลางในช่วงต้นๆ ที่เห็นว่ารัฐและการเมืองไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างหรือตกลงกันขึ้นมาเองที่หลัง (convention) และที่สำคัญ มันเป็นการตกลงกันของคนที่ไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์ (imperfect man) เพื่อที่จะหาทางที่จะมีชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในโลกที่เต็มไปด้วยคนบาป (to make the best of a bad job) ดังนั้นเราจะพบว่า บรรดาพระในคริสต์สาสนาอธิบายสถาบันทางสังคมการเมืองที่ดำรงอยู่ในสมัยนั้นว่าเป็นสิ่งที่เป็นผลพวกจากความตกต่ำหรือบาปของมนุษย์ (the fall of man)
วิธีคิดดังกล่าวนี้มองว่า “การเมือง – การปกครอง” ไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจากความจำเป็น อันมีสาเหตุมากจากบาปและความชั่วร้ายของมนุษย์ของคริสต์ศาสนา มีส่วนคล้ายคลึงกับความคิดทางการเมืองของนักคิดที่ไม่ช่ชาวคริสต์ หรือพวกที่ไม่ได้นับถือพระเจ้าในสมัยโรมัน (pagan) ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิดของพวกสโตอิก (stoic) ซึ่งเป็นสำนักคิดที่ได้รับความนิยมในช่วงต้นคริสตกาลหรือปลายยุคโรมันโดยเฉพาะความคิดของนักคิดโรมัน ชื่อ เซเนกา เขาได้แบ่งมนุษย์ออกเป็นสองยุค ยุคแรกได้แก่ยุคทองที่มนุษย์ทุกคนมีความสุขสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีการเมืองการปกครองแต่อย่างใด ส่วนอีกยุคหนึ่งคือยุคปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคที่ไม่สมบูรณ์ อันเกิดจากความฉ้อฉลของมวลมนุษย์ด้วยกันเอง แต่กระนั้น ความแตกต่างระหว่างมุมมองของเซเนกาและคริสต์ศาสนาอยู่ที่เซเนากา เห็นว่า อารยธรรมเป็นตัวทำให้มนุษย์เลวลง ส่วนคริสต์ศาสนาเห็นว่าสาเหตุของความตกต่ำของมนุษย์อยู่ที่วิญญาณชั่วร้ายของมนุษย์เอง
มรดกทางความคิดอีกประการหนึ่งของสโตอิก ซึ่งเป็นสำนึกคิดสำคัญแห่งอารยธรรมโรมัน ที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองยุคกลาง และพวกชาวคริสต์ได้นำมาใช้ประโยชน์อย่างมากในภายหลัง นั้นคือ เรื่อง กฎธรรมชาติ สากล (the idea of a universal law of nature) ความคิดที่ว่านี้เชื่อว่า มีกฎแห่งจักรวาลที่โยงใยสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเข้าด้วยกัน และนำสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้ไปสู่ความสมบูรณ์ที่เป็นธรรมชาติ ของแต่ละสรรพสิ่งนั้น
อย่างไรก็ตาม พวกสโตอิก ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนลงไปว่า กฎดังกล่าวที่ว่านี้เป็นกฎที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายไม่ว่าคนหรือสัตว์ รับรู้ได้อยู่แล้วโดยสัญชาตญาณ หรือ กฎดังกล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์เท่านั้นที่รับรู้ได้โดยอาศัยพลังหรือศักยภาพในการใช้เหตุผลที่มีอยู่เฉพาะในตัวมนุษย์ เมื่อไม่มีการอธิบายไว้ให้ชัดเจน พวกนักคิดในคริสต์ศาสนาในช่วงต้นๆจึงได้เลือกที่จะเชื่อในคำอธิบายในแบบที่สอง นั้นคือ มนุษย์ เท่านั้นที่สามารถรับรู้การดำรงอยู่ของกฎธรรมชาตินี้
ต่อมา นักคิดทางการเมืองในช่วงต้นคริสต์ศาสนาอย่างอากัสติน
[6] เป็นผู้มีอิทธิพลสำคัญยิ่งต่อการก่อการร่างความคิดทางการเมืองยุคกลาง โดยงานเขียนสำคัญของเขาชื่อ “The City of God” มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความเป็นปฎิปักษ์กันของชีวิตสองแบบ นั่นคือ ชีวิตของชาวคริสต์ที่มีจิตวิญญาณที่กลับใจ และมุ่งสู่การหลุดพ้นและชีวิตของสังคมอันตกต่ำของพวกมนุษย์ที่ละเลยพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งการแบ่งชีวิตของสังคมอันตกต่ำของพวกมนุษย์ที่ละเลยพระผู้เป็นเจ้าซึ่งการแบ่งชีวิตออกเป็นงานสองแบบของออกัสตินนี้ส่งผลต่อการอธิบายเรื่องการเมืองในความคิดทางการเมืองยุคกลางอย่างเห็นได้ชัด
ออกัสตินมิได้มุ่งหมายให้ “The City of God” เป็นงานทาง “ปรัชญาทางการเมือง” แต่ประการใด เพราะเจตนาในการเขียนงานชิ้นนี้มุ่งไปที่การตอบโต้ข้อกล่าวหาของพวกที่ไม่ได้นับถือพระเจ้า (pagan) ที่กล่าวหาว่าคริสต์ศาสนาเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้จักรวรรดิโรมันล่มสลาย และในการโต้แย้งนี้ออกัสตินได้สร้างสิ่งที่เราสามารถเรียกได้ว่าเป็น ปรัชญาประวัติศาสตร์ ในแนวทางคริสต์ศาสนาอย่างเป็นระบบขึ้นครั้งแรกอันเป็นการกล่าวถึงเรื่องราวของมนุษย์ชาติทั้งมวล ที่ครอบคลุมกาลเวลาทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยตั้งประเด็นในการดำเนินเรื่องราวของมนุษยชาติ อยู่ที่ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างสองนคร นั่นคือ นครของพระผู้เป็นเจ้า (the city of God) และนครของวิญญาณชั่วร้าย (the city of Devil)
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ควรพึงระมัดระวังให้ดีในการตีความในประเด็นนี้ก็คือ ออกัสตินไม่ได้กล่าวอย่างเจาะจงชัดเจนลงไปเลยว่า ศาสนจักร คือนครแห่งพระผู้เป็นเจ้า (the city of God) หรือตีตราว่า รัฐหรืออาณาจักร (the State) ที่มีฆราวาสเป็นผู้นำนั้นเป็นนครแห่งมารร้าย (the city of Devil) เพราะเราพบเพียงว่าตลอดข้อเขียนของเขานั้น เขากล่าวว่า ตราบจนถึงวันพิพากษา (the day of judgement) ทั้งคนดีหรือคนที่พระผู้เป็นเจ้าเลือก และคนเลวหรือคนที่พระผู้เป็นเจ้าสาปแช่งนั้นต่างมีอยู่ปะปนกันทั้งในโลกของพระหรือศาสนจักร และในโลกของฆราวาสหรือรัฐ
ข้อที่ควรสังเกตให้ความสนใจอีกประการหนึ่งคือ ในบทที่สิบเก้า ใน the city of God ออกัสตินได้กล่าวถึงปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของศาสนจักรที่มีต่ออำนาจทางการเมืองทางโลกที่มีรัฐต่างๆ เขากล่าวว่า ความยุติธรรมที่แท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในรัฐหรืออาณาจักรของคนที่ไม่นับถือคริสต์เพราะคนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังและไม่เคารพพระผู้เป็นเจ้า แต่เฉพาะในชุมชนทางการเมืองของชาวคริสต์เท่านั้นที่เป็นรัฐที่แท้ (a true commonwealth) และชาติของชาวคริสต์เท่านั้นที่เป็นเงื่อนไขสำคัญอย่างยิ่งที่จะก่อให้เกิดความยุติธรรมที่แท้จริงได้
ด้วยเหตุนี้ออกัสตินจึงไม่ยอมรับว่า รับของพวกนอกศาสนาเป็นรัฐที่แท้ แต่กระนั้นก็ดี เขากลับรับว่า รัฐของพวกนอกศาสนาเป็นรัฐที่แท้ แต่กระนั้นก็ดี เขากลับยอมรับว่า การที่คนมาอยู่รวมกันเป็นพลเมืองและมีเป้าหมายร่วมกันก็สามารถจะเรียกชุมชนของพวกนอกศาสนานี้ว่าเป็นรัฐได้ในระดับหนึ่งหากรัฐดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานขั้นต่ำสุดของการมีระเบียบและความสงบเรียบร้อยทางด้านวัตถุได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวคริสต์สามารถใช้ประโยชน์ได้ในช่วงเวลาของการแสวงบุญในโลกมนุษย์
จากความคิดที่เชื่อว่าชุมชนทางการเมืองของชาวคริสต์เท่านั้นที่เป็นรัฐที่แท้ และรัฐของชาวคริสต์เท่านั้นที่เป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งที่จะก่อให้เกิดความยุติธรรม เราจะพบการขยายความต่อไปได้อีกว่า ความยุติธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองมีคุณธรรม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อคุณธรรมตามแนวของคริสต์ศาสนาเป็นกรอบในการใช้อำนาจทางการเมือง ย่อมส่งผลให้เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยรวม ดังนั้น สิทธิทางการเมือง ย่อมสมควรถูกจำกัดอยู่แต่ผู้ที่มีคุณธรรมเท่านั้น และผู้ที่ทรงคุณธรรมตามแนวคริสต์ศาสนาย่อมได้แก่ พระ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ปกครองทางจิตวิญญาณ และ รวมถึงฆราวาสที่ได้รับการยอมรับจากพระให้เป็นผู้ปกครองทางโลก หรือทางกาย อันมีสถานะต่ำกว่าพระซึ่งเป็นผู้ปกครองทางจิตวิญญาณ ด้วยวิญญาณเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์และมีสถานะสูงกว่า กาย และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้ การยอมรับความเท่าเทียมกัน ของสมาชิกทุกคนในสังคมย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะก่อให้เกิดความยุติธรรมและความดี เพราะคนดีย่อมต้องอยู่เหนือความชั่ว คนที่มีคุณธรรมย่อมต้องอยู่เหนือคนที่ไม่มีคุณธรรม
เราจะพบว่า ประเด็นข้างต้นนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับแนวคิดทางการเมืองกรีกโบราณของเพลโตที่ว่า ผู้รักในความรู้ (Philosopher) เท่านั้นที่ สมควรที่เป็นผู้ปกครอง (ruler) หรือแนวคิดทางการเมืองของ อริสโตเติล ที่ปฎิเสธ ความเท่าเทียมกันตามหลักคณิตศาสตร์ (arithmetic equality) ซึ่งยืนยันว่า คนดีมีคุณธรรมเท่านั้นสมควรที่จะมีสิทธิทางสังคมการเมืองหรือมีสิทธิทางสังคมการเมืองมากกว่าคนผู้ไร้ซึ่งคุณธรรม และด้วยเหตุนี้เองที่พวกพระในฐานะที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมความดีย่อมมีสิทธิ์ต่างๆ เหนือคนธรรมดาทั่วไป และผู้ที่ได้รับการยอมรับจากพระให้เป็นตัวแทนในการปกครองทางโลกย่อมมีสิทธิ์เหนือคนธรรมดาทั่วไปด้วย
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความคิดคริสต์ศาสนานี้ แน่นอนว่า อำนาจสูงสุดย่อมเป็นอำนาจของฝ่ายสงฆ์ และการใช้อำนาจดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถปฎิเสธได้ ไม่ว่าผลที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจนั้จจะเป็นอย่างไรก็ตาม ดังที่ สันตะปาปาเกลาซิอุสที่ หนึ่ง (Pope Gelasius I) ซึ่งดำรงตำแหน่งระหว่าง ค.ศ.492-496 ได้พยายามกำหนดความชัดเจนของอำนาจของศาสนจักรขึ้น ซึ่งปรากฎในเนื้อหาของจดหมายที่พระองค์ได้เขียนถึงอนาสทาซิอุสที่ หนึ่ง (Anastasius I) จักรพรรดิแห่งอนาจักไบแซนไทน์ว่า “อำนาจการปกครองที่สำคัญในโลกนี้มีอยู่สองประเภทเท่านั้น นั่นคือ อำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ (the sacred authority or auctoritas) ซึ่งเป็นของสันตะปาปา และพระราชอำนาจของกษัตริย์ (potestas)”
ในการเขียนจดหมายนี้ สันตะปาปาเกลาซิอุสมีพระประสงค์ที่จะต่อต้านการขยายอำนาจของฝ่ายอาณาจักรโดยจักรพรรดิอนาสทาซิอุส พระองค์กล่าวย้ำว่า ระหว่างสองอำนาจนี้ อำนาจทางจิตวิญญาณย่อมอยู่เหนือกว่า และการใช้คำว่า Auctoritas สำหรับอำนาจฝ่ายอาณาจักรของกษัตริย์นั้นบ่งชี้ถึงลำดับความสำคัญในตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะ auctoritas ตามนัยกฎหมายโรมัน หมายถึงต้นกำเนิดของอำนาจการปกครองสูงสุดในขณะที่ potestas หมายถึงการเป็นตัวแทนที่ได้รับมอบหมายอำนาจการปกครองและนำไปปฎิบัติ
การ

[1] Ancient
[2] Querelle Ddes anciens et des modernes, in Tilo Schabert, “Modernity and History I: What is Modernity?,” pp.12-13 in The Promise of History: Essays in Political Philosophy, Athanasios Moulakis, edt. (Berlin and New York: Walter d Gruyter: 1986).
[3] Ancient regime
[4] Christian Commonwealth
[5] The Middle Ages
[6] St.Augrstine of Hippo: 354-430

รัฐศาสตร์ทั่วไป

อ.สุรชัย เจนประโคน
คำนิยามของ วี.โอ.คีย์[1]
การเมืองเป็นเรื่องความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับการบังคับบัญชาและถูกบังคับบัญชา การควบคุม การเป็นผู้ปกครองและถูกปกครอง[2]
การเมืองตามคำนำยามนี้เป็นเรื่อง อำนาจ อันได้แก่ การได้มาและรักษาไว้ซึ่งอำนาจหรืออิทธิพลทางการเมือง “อำนาจ” หมายถึง การลดหลั่นในเรื่องการบังคับบัญชา มีการแบ่งงานระดับสายงาน หรือมีการแบ่งว่าไครเป็น
1.ผู้ปกครอง (คือรัฐ)
2.ใครเป็นผู้อยู่ใต้การปกครอง (ราษฎร์)

คำนิยามของ David Easton[3]
การเมือง เป็นการ แบ่งสันปันส่วนหรือจัดสรร โดยใช้อำจาจอันเป็นที่ได้รับการยอมรับหรือที่ถือว่าเป็นไปตามสิทธิอำนาจ (authoritative allocation of values)[4] เป็นคำนิยามที่เน้นการแบ่งสรรประโยชน์

คำนิยามของโวลิน
เน้นสามประเด็นหลักช่วยให้เข้าใจได้อย่างสมบูรณ์
[1] นักรัฐศาสตร์อเมริกัน ช่วงประธานาธิบดีไอเซนเฮาวร์
[2] V.O.Key, Jr.Politics, Parties and Pressure Groups, 4th ed., Crowell, 1985, p.6
[3] นักรัฐศาสตร์ร่วมสมัยกับ V.O.Key
[4] David Easton. The Political System. New York: Knopf, 1957, p.180

รัฐศาสตร์ทั่วไป

รัฐศาสตร์ทั่วไป
Introduction to Political Science

อ.สุรชัย เจนประโคน

รัฐศาสตร์ เป็นศัพท์ที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ
1.Politics การเมือง
2.Political Science รัฐศาสตร์
3.Government การปกครอง
ความแตกต่างของศัพท์ 3 คำมีอยู่บ้าง แต่ในวงการรัฐศาสตร์ตะวันตกใช้ในความหมายที่แทนกันได้ อ้างจาก Encytclopedia of the Social sciences สารานุกรมสังคมศาสตร์.Vol.11, New York: Macmillan, 1954, p.225
คำศัพท์ในภาควิชาในสหรัฐอเมริกาเน้น ความเป็นวิชาการและมีความเป็นเอกเทศ คือ เป็นตัวของตัวเองมากไม่ใช่อยู่ใต้บังคับบัญชาเชิงบริหารอย่างสังคมไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับคณะ วิชา
ความแตกต่างระหว่าง “รัฐศาสตร์” กับ “การเมือง” ที่ใช้ในภาษาไทย คือ “รัฐศาสตร์” เป็นเรื่องวิชาการ ซึ่งมีการจัดระบบหมวดหมู่อย่างชัดแจ้ง
ศัพท์ “การเมือง” ในภาษาพูดมีความหมายเอนเอียงไปในทางลบ หรือไม่ค่อยดีนัก ซึ่งเข้าใจในเรื่องขัดแย้งด้วยผลประโยชน์ ส่วนตัว
“การเมือง” อิงรากศัพท์มาจาก “Polis” ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า นครรัฐ
[1]อันเป็นการรวมตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งใหญ่กว่าระดับครอบครัวหรือชนเผ่า
ต้นตอของ “รัฐศาสตร์” หรือที่เราใช้ในภาษาอังกฤษว่า “political science” มาจากภาษา เยอรมัน คือ staatswissenschaft
[2] แปรตามตัวอักษร คือ “ศาสตร์แห่งรัฐ” ซึ่งพึ่งมีขึ้น ในศตวรรษที่ 18 และ 19 (ประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา) และในภาษาเยอรมัน Staat-สตาต แปลว่ารัฐ และ Wissenschaft –วิสเซนชาฟต์ หมายถึง วิทยาการ ไม่ได้หมายเฉพาะเจาะจงว่าเป็น วิทยาศาสตร์ ดังนั้น จวบจนกระทั่งทุกวันนี้
ศัพท์ “Government” มีรากมาจากภาษากรีก คือ “kybernates”
[3] แปลว่า ผู้ถือหางเสือเรือ ซึ่งคงทำให้เกิดการเปรียบเทียบว่าการเมืองการปกครอง และโดยเฉพาะรัฐบาลเป็นเสมือนเรือที่ไม่อยู่นิ่ง และมีวลี ว่า “รัฐนาวา” (ship of state ) ตามมา

คำนิยาม ของ ลาสเวลล์
การเมือง ได้แก่ เรื่องเกี่ยวกับอิทธิพลและผู้มีอิทธิพลHarold Lasswell กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่อง เกี่ยวกับอิทธิพล (The study of politics is the study of influence and the influential) ในหนังสือชื่อ การเมือง ใครได้อะไร เมื่อใด และอย่างไร
[1] ยกตัวอย่าง นครรัฐในกรีกโบราณได้แก่ เอเธนส์และสปาร์ตา
[2] อ่านว่า สตาตสวิสเซนชาฟต์
[3] อ่านว่า ไค เบอร์ เน ตีส

การศึกษาปรัชญาการเมือง

การศึกษา ปรัชญาการเมือง ช่วยให้เราจัดรูปแบบและสร้างระเบียบความสัมพันธ์ ระหว่างมนุษย์ กับตัวของเขาเอง ผ่านทางคำสอน และแนวคิดในเรื่องการรู้จักตัวเอง จิตวิญญาณ และการมีชีวิตที่ดี มีคุณธรรมส่วนนี้สำคัญ
และการที่เป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติของบุคคลที่จะมาเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง สามารถ ที่จะแยกความแตกต่างของผู้ปกครองที่ดีกับผู้ปกครองที่เลว ได้
และได้รู้ซึ้งถึงเรื่องของระบบการปกรองรูปแบบต่างๆ

อาจารย์ สุรชัย เจนประโคน

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของการศึกษานโยบายสาธารณะ

ประโยชน์ของการศึกษานโยบายสาธารณะ
1.เพื่อจะได้รับรู้ในเรื่องนโยบายและเข้าใจนโยบายทั้งอดีตและปัจจุบัน ว่าทำไมต้องมีนโยบาย โครเป็นผู้ริเริ่ม หรือมีส่วนผลักดันที่กำหนดนโยบายสาธารณะขึ้นมา และเป็นส่วนที่ทำให้เกิดนโยบายเช่นนั้น
2.เพื่อจะได้ทราบถึงกระบวนการต่างๆ ของการกำหนดนโยบายนั้นว่าเป็นอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไร และได้รู้ว่านโยบายสาธารณะของแต่และประเทศเป็นอย่างไรสามารถที่จะนำมาศึกษาเปรียบเทียบกันได้
3.เพื่อจะได้ทราบและวัดได้ทันทีว่าประสิทธิภาพและประสิทธิผลของสถาบันทางการเมือง พรรคการเมือง และผู้นำทางการเมืองของแต่ละประเทศเป็นอยางไร
4.เพื่อจะช่วยให้ได้ทราบถึงวิธีการต่างๆ ในการวิเคราะห์ปัญหาทางการเมืองอย่างมีเหตุและมีผลมิใช่เป็นการเดาหรือสุ่มตัวอย่างโดยไม่มีเหตุผล

องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะ

องค์ประกอบของนโยบายสาธารณะ
การที่จะชี้ว่าอะไรเป็นองค์ประกอบนโยบายสาธารณะนั้นค่อยข้างจะสับสนและยุ่งยาก แม้นักวิชาการทั้งหลายต่างก็ให้ความเห็นที่แตกต่างกันไป ซึ่งพอที่จะจำแนกองค์ประกอบตามความสำคัญของนโยบาย ได้ดังนี้
1.นโยบายเป็นหลักเกณฑ์ บรรทัดฐาน สำหรับวางแนวทางในการปฎิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้
2.นโยบายเป็นจุดหมายที่นำไปสู่การสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศ
3.นโยบายเป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่แน่นอน ชัดเจนในการทำงาน และก่อให้เกิดการประสานงานระหว่างบุคคลและองค์กรต่างๆ รวมทั้งขจัดความซ้ำซ้อน
4.นโยบายเป็นเครื่องมือไปสู่ภาวะการมีเอกภาพหรือเอกรูปของการดำเนินงานของรัฐบาล
5.นโยบายเป็นกลไกที่ทำให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง6.นโยบายเป็นกระบวนการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีเหตุมีผล

วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ขยายความ บางประเด็น ของวิชานโยบายสาธารณะ

สุรชัย เจนประโคน

นโยบายสาธารณะ (public policy) คือ เครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการบริหารและพัฒนาประเทศทั้งในทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง แต่นโยบายสาธารณะจะมีความสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้รับการนำไปปฏิบัติให้ปรากฎเป็นจริง เพราะนโยบายสาธารณะมิใช่เป็นสิ่งที่แสดงเจตจำนงหรือความตั้งใจของรัฐบาลที่จะกระทำหรือไม่กระทำสิ่งใดเท่านั้น แต่จะต้องครอบคลุมถึงการนำไปปฏิบัติให้ปรากฎเป็นจริงด้วย
ในการนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติให้ปรากฏเป็นจริง อาจจำแนกได้ 2 ลักษณะ ได้ดังนี้
ลักษณะแรก เป็นการนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบสามารถปฏิบัติได้ทันทีโดยไม่ต้องจัดทำแผนหรือวางแผน (planning) รองรับ เช่น การประกาศลดภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าที่ก่อให้เกิดมลพิษ 9 รายการในการประชุมคณะรัฐมนตรี
[1] เพื่อเป็นมาตรการในการเพิ่มรายได้ให้เพียงพอต่อการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2541 เป็นต้น นโยบายนี้กรมสรรพสามิตสามารถออกประกาศให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าดังกล่าวปฏิบัติตามได้ทันทีโดยไม่ต้องทำการวางแผนรองรับการปฏิบัติแต่อย่างใด
ลักษณะที่สอง เป็นการนำนโยบายของรัฐบาลไปปฏิบัติโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบจะต้องทำการวางแผนรองรับ อาจเป็นแผนระยะยาว เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
[2]
อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่า นโยบายสำคัญที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินงานให้บรรลุเป้าหมาย ล้วนมีความจำเป็นที่จะต้องทำการวางแผนรองรับ เพื่อเป็นหลักประกันว่าการนำนโยบายไปปฏิบัติจะบรรละเป้าหมายที่พึงประสงค์อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า แผน (Plan) คือ รูปธรรมของนโยบายที่ประกอบด้วยมาตรการและกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้การนำนโยบายไปปฏิบัติปรากฏเป็นจริง และแผนก็คือผลผลิตของการวางแผน (Planning) เมื่อแผนถูกนำไปปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจะต้องตรวจสอบว่า มาตรการและกิจกรรมต่างๆ ที่กำหนดไว้ในแผนนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ หรือก่อให้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคใดๆ บ้างในขณะนำไปปฏิบัติ และปัญหาอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้นสามารถแก้ไขได้หรือไม่ และส่งผลกระทบต่อการบรรลุเป้ามหายเพียงใด การประเมินผลการนำแผนไปปฏิบัติจะทำให้ทราบข้อมูลสำคัญเพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงการวางแผนใหม่ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น หรืออาจจำเป็นจะต้องปรับปรุงนโยบายให้มีความเหมาะสมต่อการนำไปปฏิบัติให้บรรลุเป้าประสงค์อย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างนโยบาย การวางแผนและแผน อาจแสดงให้เห็นได้ดังแผนภาพต่อไปนี้

นโยบาย การวางแผน แผน

ข้อมูลย้อนกลับ

แผนภาพ แสดงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบาย การวางแผนและแผน


ปรัชญาของการวางแผน
คำว่า Planning มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า Plamum แปลว่า แบนหรือราบ (flat) เป็นคำที่นำมาใช้ในภาษาอังกฤษ ในศตวรรษที่ 17 โดยใช้ในความหมายแคบๆ เกี่ยวกับการวาดภาพหรือการสเก็ตภาพวัตถุลงบนพื้นผิวราบ ลักษณะเดี่ยวกับการเขียนภาพบนพิมพ์เขียวในปัจจุบันถูกนำมาใช้ในความหมายที่กว้างขวางมาก ทั้งในเรื่องการวางแผนส่วนบุคคล การวางแผนของกลุ่มกิจกรรมทางสังคม การวางแผนขององค์การเอกชน รวมทั้งการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของรัฐบาลโดยทั่วไป
การวางแผนมีแนวคิด (concepts) หรือปรัชญาของการวางแผน (philosophies of planning) แตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทัศนะ และมุมมองของนักวางแผนแต่ละคน อย่างไร ก็ตามในทัศนะของ Russell L. Ackoff ได้จำแนกปรัชญาของการวางแผนออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่
1.การวางแผนโดยมุ่งความพอใจระดับหนึ่ง (Satisficing Planning) แนวคิดของนักวางแผนกลุ่มนี้ จะให้ความสนใจลักษณะของการวางแผนที่ “ดีพอสมควร” (well enough) มิใช่การวางแผนที่ “ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” (as well as possible)
การวางแผนในลักษณะนี้ จะเริ่มต้นจากการกำหนดวัตถุประสงค์ (objectives) และ เป้าประสงค์ (goals) ซึ่งเชื่อว่า จะมีความเป็นไปได้และเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ โดยนักวางแผนจะเห็นพ้องต้องกัน (consensus) ในการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าประสงค์ดังกล่าว
วัตถุประสงค์และเป้าประสงค์จะถูกกำหนดบนพื้นฐานของระดับความพอใจโดยอาจจะวัดจากผลการปฏิบัติง่ายๆ อาทิเช่น การวัดจากผลกำไรหรือผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการต่างๆ หรือหากพิจารณาในเชิงคุณภาพ (qualitative terms) อาจจะวัดจากลักษณะความสัมพันธ์ที่ดีของพนักงานในองค์การ เป็นต้น หรือในทางที่สุดโต่ง (extreme) นักวางแผนในแนวนี้จะยึดถือหลักการที่ว่า “ถ้าเราไม่สามารถวัดสิ่งที่เราต้องการได้ เราก็ควรต้องการเฉพาะสิ่งที่เราวัดได้เท่านั้น หรืออาจไม่จำเป็นต้องวัดสิ่งที่เราต้องการ”
ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งของการวางแผนโดยมุ่งความพอใจระดับหนึ่ง คือ ความต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากเดิมเพียงเล็กน้อย กล่าวคือ เป็นแผนที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยม (conservative) ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินนโยบายเป็นไปโดยเรียบง่าย โดยมุ่งแก้ไขเฉพาะปัญหาและอุปสรรคบางประการให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น การวางแผนลักษณะนี้ จึงมุ่งเพื่อความอยู่รอดขององค์การมากกว่าการมุ่งเพื่อการพัฒนาหรือการเติบโตขององค์การ
แนวความคิดในการวางแผนลักษณะนี้ เน้นย้ำให้เห็นความจำเป็นของความพยายามในการวางแผนที่เป็นไปได้มากกว่าแผนที่จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด เพราะถือว่าแม้จะเป็นแผนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดแต่มีโอกาสเป็นไปได้น้อยก็ไม่มีประโยชน์
แนวความคิดนี้มีข้อโต้แย้งและจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่
ประการแรก หากนักวางแผนใช้ความพยายามที่จะทำแผน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุด จะทำให้นักวางแผนต้องใช้ความพยายามในการสำรวจข้อมูลความเป็นไปได้ต่างๆ ทั้งจากภายในและภายนอกองค์การ ทั้งจากสภาพปัจจุบันและการพยากรณ์สภาพการณ์ในอนาคต ข้อมูลดังกล่าวจะต้องทำให้นักวางแผนอยู่ในฐานะได้เปรียบกว่า เพราะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกิจการขององค์การอย่างกว้างขวางรอบด้าน ในทางตรงกันข้าม หากนักวางแผนมุ่งเพียรความพอใจระดับหนึ่ง และไม่สนใจที่จะสำรวจหรือวิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้านอาจทำให้สูญเสียโอกาสที่ดีขององค์การให้แก่คู่แข่งไปในที่สุด
ประการที่สอง การวางแผนโดยมุ่งความพอใจระดับหนึ่งจะไม่ส่งเสริมให้นักวางแผนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบและกระบวนการวางแผนที่มีประสิทธิภาพ โดยมีแนวโน้มที่จะใช้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบที่มีอยู่เดิมเท่านั้นและไม่สนใจที่จะค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อขยายความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบและกระบวนการวางแผนให้ดีขึ้น การวางแผนลักษณะนี้ไม่ให้ความสำคัญในเรื่องผลการวิจัย หรืองานวิจัยที่จะทำให้การวางแผนมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพมากขึ้น
ประการที่สาม นักวางแผนในแนวนี้จะหลีกเลี่ยงการกระทำใดๆ ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์การ เพราะไม่ต้องการให้เกิดข้อโต้แย้งหรือกลุ่มคัดค้านขึ้นในองค์การ และไม่ให้ความสนใจต่อการปรับปรุงองค์การใหม่ (reorganization) เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระขององค์การ (rock the boat)
ประการสุดท้าย นักวางแผนประเภทนี้จะใช้ข้อมูลจากการพยากรณ์เพียงด้านเดียวโดยคาดหมายว่า เฉพาะข้อมูลเหล่านี้ก็เพียงพอสำหรับการวางแผนที่จะให้ปรากฏผลที่เป็นจริงและจะหลีกเลี่ยงการใช้ข้อมูลการพยากรณ์ที่เกี่ยวกับโอกาสของความเป็นไปได้ (probabilities) โดยมีสมมติฐานว่า ข้อมูลเท่าที่ใช้ในการวางแผนนั้นเพียงพอที่จะจัดการกับสิ่งที่ไม่คาดหมายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้น นักวางแผนประเภทนี้จึงไม่ให้ความสนใจเรื่องการควบคุมและกำกับการปฏิบัติให้เป็นไปตามแผน ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อนที่สำคัญยิ่งประการหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การวางแผนโดยมุ่งความพอใจระดับหนึ่ง จะใช้เวลาน้อย เงินน้อยและทักษะในการวางแผนน้อยกว่าการวางแผนในลักษณะอื่น คุณลักษณะเหล่านี้อาจเป็นสิ่งดึงดูดใจต่อนักบริหารที่ขาดวิสัยทัศน์ (vision)
กล่าวโดยสรุป หลักการสำคัญของการวางแผนโดยมุ่งความพอใจระดับหนึ่งประกอบด้วย
ประการแรก ทำการเปลี่ยนแปลงจำนวนและขนาด จากนโยบาและการปฏิบัติที่เป็นอยู่ให้น้อยที่สุด
ประการที่สอง เพิ่มการใช้ทรัพยากรเพื่อการวางแผนให้น้อยที่สุด
ประการสุดท้าย ทำการวางแผนโดยให้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์การให้น้อยที่สุด เพื่อลดการต่อต้านจากบุคลากรภายในองค์การให้น้อยที่สุด

2.การวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุด (Optimizing Planning) แนวความคิดของนักวางแผนกลุ่มนี้ ต้องการจะทำการวางแผนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (as well as possible) โดยใช้ตัวแบบในการพัฒนาและการคำนวนที่เป็นระบบมาเป็นเครื่องมือในการวางแผน
นักวางแผนในแนวนี้พยายามจะกำหนดเป้าประสงค์ และวัตถุประสงค์ขององค์การโดยใช้แนวคิดเชิงปริมาณเป็น (quantitative methods) เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์เชิงปริมาณตามที่ต้องการได้ทั้งหมดแล้ว จะนำวัตถุประสงค์เหล่านั้นมาประมวลเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดภาพรวมของวัตถุประสงค์ขององค์การอย่างชัดเจนและสะดวกต่อการวัดผลการดำเนินงานขององค์การทั้งหมด ในกรณีที่มีวัตถุประสงค์เชิงคุณภาพรวมอยู่ด้วย นักวางแผนในแนวนี้จะพยายามปรับเปลี่ยนวัตถุประสงค์เชิงคุณภาพให้เป็นเชิงปริมาณ เพื่อให้สามารถวัดหรือวิเคราะห์เป็นตัวเลขได้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจน และเข้าใจง่าย ลักษณะนี้อาจจะใช้ปริมาณงินที่เป็นต้นทุนในการวัดระดับบรรลุวัตถุประสงค์เชิงคุณภาพที่ถูกแปลงเป็นวัตถุประสงค์เชิงปริมาณ
การวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุด เป็นลักษณะของการแสวงหานโยบายแผนงานระเบียบวิธีการ และการปฏิบัติที่เป็นไปได้ดีที่สุด โดยใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์ในการวิเคราะห์และเป็นการวิเคราะห์เชิงประจักษ์ (empirical analysis) ที่ยึดหลักเหตุผล ความสำเร็จของการวางแผนจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยของข้อมูลที่สมบูรณ์และเที่ยงตรงมากพอสำหรับการวิเคราะห์และ ความสามารถในการแสวงหาตัวแบบที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการวางแผน
การวางแผนในแนวนี้ให้ความสนใจข้อมูลจากการค้นคว้าวิจัยเป็นอย่างมาก เพราะถือว่าข้อมูลจากการค้นคว้าวิจัยได้ผ่านการวิเคราะห์และตรวจสอบมาอย่างรัดกุม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของการวางแผนในลักษณะนี้
อย่างไรก็ตาม การวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุด แม้จะมีจุดเด่นหลายประการดังกล่าวแล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดและจุดอ่อนหลายประการด้วยกัน ได้แก่
ประการแรก การวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุดมีแนวโน้มที่จะละเลยต่อสิ่งที่วัดไม่ได้ในเชิงปริมาณซึ่งอาจจะนำไปสู่ความคลาดเคลื่อนในการวิเคราะห์ได้ เพราะข้อมูลเชิงคุณภาพในหลายกรณีก็มีความสำคัญต่อการวางแผนไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับขวัญและกำลังใจของพนักงาน เป็นต้น ซึ่งมีผลต่อการนำแผนขององค์การไปปฏิบัติเป็นอยางยิ่ง หากนักวางแผนละเลย เพราะถือว่าเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่วัดได้ยาก อาจทำให้การวางแผนไม่สอดคล้องกับสภาพปัญหาขององค์การ และอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในการปฏิบัติในที่สุดหรือปัญหาวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์การ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัญหาเชิงคุณภาพ แต่มีความสำคัญสูงสุด หากนักวางแผนละเลยไม่พยายามทำความกระจ่างชัดในเรื่องวิสัยทัศน์ของผู้นำ การวางแผนทั้งหมดอาจสูญเปล่าเพราะผู้นำไม่สนใจที่จะนำไปปฏิบัติ
ประการที่สอง การวางแผนประเภทนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์เชิงปริมาณ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ข้อมูลที่เที่ยงตรงและเพียงพอ หากได้ข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงหรือไม่ทันสมัยพอจะทำให้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลคลาดเคลื่อน ส่งผลให้การวางแผนไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติล้มเหลวในที่สุด ดังนั้น การวางแผนประเภทนี้ จึงต้องอาศัยระบบข้อมูลสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญ ปัจจัยเหล่านี้ต้องอาศัยการลงทุนทั้งทรัพยากรบุคคลและงบประมาณในระยะต้นค่อนข้างสูง เพื่อหวังผลตอบแทนในระยะยาว
ประการที่สาม เนื่องจากการวางแผนประเภทนี้ ต้องอาศัยตัวแบบทางคณิตศาสตร์ ในการวิเคราะห์เป็นหลัก ดังนั้น ผลสำเร็จของการวางแผนจึงขึ้นอยู่กับการพัฒนาตัวแบบที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการวิเคราะห์ทางเลือกที่ต้องการ หากไม่สามารถพัฒนาตัวแบบที่เหมาะสมจะส่งผลให้การวิเคราะห์ขาดความเที่ยงตรงไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนได้อย่างเหมาะสมโอกาสที่จะทำให้ได้แผนที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดจึงลดน้อยตามไปด้วย
ประการที่สี่ ข้อจำกัดที่สำคัญอีกประการหนึ่งของการวางแผนประเภทนี้ คือ ไม่สามารถ จะสร้างตัวแบบใดตัวแบบหนึ่งเพื่อนำมาใช้เป็นตัวแทนของเป้าประสงค์ทั้งหมดขององค์การ เป็นเหตุให้นักวางแผนมีแนวโน้มที่จะวางแผนเฉพาะหน่วย หรือเฉพาะด้านของระบบที่สามารถพัฒนาตัวแบบในการวิเคราะห์ได้ ทำให้หน่วยอื่นหรือด้านอื่นที่ไม่สามารถพัฒนาตัวแบบที่เหมาะสมมาใช้ในการวิเคราะห์ถูกละเลยไปโดยปริยาย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาแก่องค์การในภายหลัง
ประการสุดท้าย เนื่องจากการวางแผนประเภทนี้ต้องอาศัยข้อมูลจากการวิจัยที่น่าเชื่อถือซึ่งต้องใช้เวลาและทรัพยากรพอสมควรอาจทำให้การวางแผนไม่ทันตามความต้องการหรือเวลาที่จะต้องใช้ในขณะเดี่ยวกันในบางโอกาสอาจพบว่า เกิดการขาดแคลนนักวิจัยที่มีคุณภาพ จะยิ่งเป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าในหลายกรณีความพยายามของนักวางแผนที่มุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุดจะไม่ประสบผลสำเร็จ คือ ไม่สามารถพัฒนาการวางแผนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดได้ตามที่ต้องการ เพราะมีข้อจำกัดและปัญหาอุปสรรคต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ความพยายามดังกล่าวมิหมายความว่าจะสูญเปล่า อย่างน้อยที่สุดจะก่อให้เกิดผลพลอยได้ที่คุ้มค่า เพราะจะทำให้นักวางแผนเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับระบบและกระบวนการวางแผนที่กำลังกระทำอยู่ รวมทั้งสภาพการณ์ขององค์การทั้งทางบวกและทางลบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนให้มีประสิทธิภาพมากกว่าไม่รู้และไม่เข้าใจสภาพการณ์ดังกล่าวขององค์การ
กล่าวโดยสรุป นักวางแผนโดยมุ่งผลตอบแทนที่ดีที่สุดพยายามที่จุวางแผนโดย ประการแรก ใช้ทรัพยากรให้น้อยในการบรรลุเป้าประสงค์ขององค์การ ประการที่สอง
ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้ทรัพยากรให้น้อยที่สุด ประการสุดท้าย ให้ได้รับความสมดุลระหว่างผลประโยชน์ (benefits) และต้นทุน (costs) ให้มากที่สุด
อนึ่งการวางแผนกลยุทธ์แบบครอบคลุม (comprehensive strategic planning) เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดยังห่างไกลจากความสามารถของนักวางแผนในปัจจุบัน แต่การวางแผนเพื่อให้บางส่วนของแผนได้รับประโยชน์สูงสุดและนำมาประสานกับส่วนอื่นๆ ใช้เทคนิคเชิงประมาณเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด จะเกิดประโยชน์อย่างมาก หรืออีกนัยหนึ่งการวางแผนโดยใช้เทคนิคเชิงปริมาณเพื่อการวิเคราะห์ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ควบคู่กับการใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพที่จำเป็นและสามารถให้ความพอใจได้ระดับหนึ่ง มีแนวโน้มว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้แนวทางอย่างหนึ่งอย่างใดเพียงแนวทางเดียว
การวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การ (Adaptivizing Planning) แนวคิดของนักวางแผนในกลุ่มนี้มุ่งที่จะทำการวางแผนแบบวัตกรรม (innovaftive planning) ซึ่งยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะนักวางแผนยังไม่สามารถพัฒนาแนวคิดที่ชัดเจนและครอบคลุมในการวางแผนเพื่อให้เกิดการปรับตัวขององค์การอย่างสร้างสรรค์ รวมทั้งนักวางแผนยังไม่สามารถกำหนดระเบียบวิธีการวิเคราะห์ที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการวางแผนอย่างเป็นระบบ ดังนั้น การวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การอย่างสร้างสรรค์ จึงมีลักษณะเป็นอุดมคติมากกว่าการนำมาปฏิบัติอยู่ในองค์การจะเชื่อว่าทำให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้นักวางแผนคิดถึงการสร้างนวัตกรรมเพิ่มขึ้นใหม่ๆ ในการวางแผน เพื่อให้องค์การเกิดการปรับตัวอย่างสร้างสรรค์
ลักษณะสำคัญของการวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การอย่างสร้างสรรค์
ประกอบด้วย
ประการแรก การวางแผนในแนวนี้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่วางค่านิยมหลักของการวางแผนมิได้ขึ้นอยู่กับแผนที่ถูกกำหนดขึ้น แต่เกิดอยู่ในกระบวนการวางแผน ทำให้นักวางแผนในแนวทางนี้ถือว่า “กระบวนการ คือ ผลผลิตที่สำคัญของนักวางแผน” ดังนั้น ความสำคัญของแผนจึงขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของนักบริหารในกระบวนการวางแผนไม่ใช่อยู่ที่การใช้แผน หมายความว่า นักบริหารที่รับผิดชอบอยู่ในส่วนต่างๆ ขององค์การมีความรู้ความเข้าใจต่อสภาพความเป็นจริงขององค์การอย่างชัดเจน การให้นักบริหารเหล่านี้มีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนกระบวนการนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของการวางแผนที่จะก่อให้เกิดแผนที่พึงประสงค์ ด้วยเหตุนี้ การวางแผนที่มีประสิทธิผลจะต้องกระทำโดยการมีส่วนร่วมของนักบริหาร ที่รับผิดชอบในทุกส่วนขององค์การ
ประการที่สอง ความต้องการในการวางแผน ส่วนใหญ่ในขณะนี้เกิดขึ้นจากความบกพร่องในการจัดการและการควบคุมอย่างมีประสิทธิผลขององค์การ ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของการวางแผนควรจะมุ่งเน้นการออกแบบองค์การและระบบการจัดการเพื่อลดความต้องการในอนาคตที่จะต้องวางแผนซ้ำรอยอดีตขององค์การ (retrospective planning) ซึ่งจะก่อให้เกิดความสูญเปล่าทั้งเวลา ทรัพยากรและโอกาสในการเติบโตก้าวหน้าขององค์การ
ประการสุดท้าย ความรู้นักวางแผนเกี่ยวกับอนาคต อาจจำแนกได้ 3 ลักษณะ คือ
ก.ความแน่นอน (certainty)
ข.ความไม่แน่นอน (uncertainty)
ค.ความเพิกเฉย (ignorance)
ในลักษณะที่แตกต่างดังกล่าว ต้องการ การวางแผนที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านความผูกพัน (commitment) ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ (contingency) และความรับผิดชอบ (responsiveness) ดังนั้น นักวางแผนจึงต้องพยายามทำการวางแผนเพื่อให้สามารถปรับตัวได้ตามสภาพการณ์ของอนาคต โดยจะต้องพยายามแสวงหาความรู้เพื่อลดความไม่แน่นอนหลีกเลี่ยงการเพิกเฉยต่อสภาพอนาคตและเสริมสร้างสมรรถนะในการปรับตัวขององค์การ เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวเป็นลักษณะธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยทั่วไปการปรับตัวขององค์การเป็นการตอบสนองต่อการเปลี่ยนทั้งจากภายในองค์การ อาทิ คุณภาพของบุคลากรในองค์การและจากภายนอกองค์การ อาทิ การเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งขัน เป็นต้น แต่องค์การจะมีสมรรถภาพเพียงใดขึ้นอยู่กับความสามารถในการวางแผนให้องค์การสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป
ลักษณะของการปรับตัว อาจเกิดได้จาก
กรณีแรก องค์การถูกกระทำ (passive) อาทิ คู่แข่งลดราคาสินค้าเพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดและเราตัดสินใจลดราคาและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ เพื่อต่อสู้กับคุ่แข่ง
กรณีที่สอง องค์การเป็นผู้กระทำ (active) อาทิ การปรับสูตรการผลิตสินค้าใหม่ เพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าขององค์การให้เหนือคู่แข่งขัน เป็นต้น
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมอาจเกิดขึ้นเร็วหรือช้าก็ได้ สิ่งแวดล้อมบางกรณีเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก อาทิ อัตราแลกเปลี่ยนเงินอาจเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน ในขณะที่สิ่งแวดล้อมบางกรณีเปลี่ยนแปลงช้ามาก อาทิ ค่านิยม ในการทำงานของบุคคลซึ่งเกิดจากกระบวนการปลูกฝังและหล่อหลอมมาเป็นเวลานาย ทำให้ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป การวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การอย่างสร้างสรรค์ จะให้ความสนใจเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันขององค์การและความรู้เกี่ยวกับสภาพการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในอนาคต โดยนักวางแผนจะต้องพยายามแสวงหาความรู้เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของอนาคต และจะต้องผลักดันให้นักบริหารที่รับผิดชอบส่วนต่างๆ ขององค์การให้มีส่วนร่วมในการวางแผน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประสบการณ์ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมในการวางแผนสำหรบอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถึงแม้ว่าการวางแผนโดยมุ่งการปรับตัวขององค์การอย่างสร้างสรรค์ จะมีลักษณะเป็นอุดมคติมากกว่าความเป็นจริง แต่ความพยายามในการวางแผนโดยใช้แนวคิดนี้จะก่อประโยชน์ต่อองค์การอย่างมาก
[1] พฤษภาคม 2540

[2] สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในการวางแผนและถือว่าเป็นแผนหลักหรือแผนกลยุทธ์ที่มีระยะเวลา 5 ปี แผนดังกล่าว จะต้องส่งไปให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่กระทรวง ทบวง และกรมต่างๆ ทำการแปลงแผนเป็นแผนประจำปี อาจจะเป็นแผนงาน (programs) งาน (works) หรือโครงการ (projects) แล้วแต่ความเหมาะสมของภารกิจของแต่ละหน่วยงาน

นโยบาย (Policy)

นโยบาย (Policy)
ความหมายของนโยบายและ นโยบายสาธารณะ
โดยทั่วไปในการศึกษานโยบายจะจำแนกการศึกษาออกเป็น 2 แนวทาง คือ
การศึกษานโยบายทั่วๆ ไป (General Policy)
การศึกษานโยบายสาธารณะ (Public Policy)

ในความความหมาย นโยบาย หมายถึง แนวทางกว้างๆ ในการปฎิบัติงาน ซึ่งในความหมายนี้จะไม่แยกแยะว่าจะเป็นนโยบายของเอกชนหรือของรัฐ ก็เป็นแนวทางกว้างๆ ในการปฎิบัติงานทั้งสิ้น
ในความหมายที่กล่าวถึงเฉพาะ นโยบายสาธารณะเป็นสำคัญ ซึ่งในความหมายของนโยบายสาะรณะนั้นมีนักวิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายไว้ และซึ่งสรุปได้ว่า นโยบายสาธารณะ หมายถึง แนวทางหรือกิจกรรมต่างๆ ที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำ ภายใต้อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยกำหนดเป็นหลักการแผนงานหรือโครงการ เพื่อก่อประโยชน์แก่สังคมและส่วนรวมต่อไป
ข้อสังเกต นโยบายสาธารณะ (Public Policy) นั้น อาจเป็นนโยบายของรัฐบาลหรือของเอกชนก็ได้ หากนโยบายนั้นมุ่งผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่สำหรับนโยบายของรัฐบาล (Government Policy) ต้องเป็นนโยบายสาธารณะเท่านั้น

ลักษณะทั่วไปของนโยบาย
เป็นแนวทางอย่างกว้างๆ
มีจุดมุ่งหมาย
เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฎิบัติ

ลักษณะของนโยบายสาธารณะที่ดี
มีวัตถุประสงค์ ที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์แก่สังคมและส่วนรวม
มีแผนงานรองรับ เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
ต้องคำนึงถึงเงื่อนไขในด้าน บริบท เวลาและสถานที่
มีลักษณะของความเข้าใจได้ง่าย ของข้อความ เพื่อให้สามารถปฎิบัติตาม ได้ และสามารถเข้าใจได้ง่าย
ตอบสนองต่อผลประโยชน์สูงสุดของชาติ และส่วนรวม

รูปร่างของนโยบาย
มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ คือ เป็นนโยบายที่มีลักษณะบังคับให้ต้องปฎิบัติตาม
มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
มีรูปเป็นประกาศ หรือเพื่อแจ้งความ แจ้งข่าวสาร เชิญชวน และมีลักษณะที่บังคับน้อยที่สุด
มีรูปเป็นสัญญา
มีรูปเป็นอื่นๆ

ข้อสังเกต นโยบายจะมีรูปร่างอย่างไรไม่สำคัญ แต่แผนและโครงการนั้นจะต้องมีรูปร่างที่แน่นอนเสมอ


ลักษณะของผู้กำหนดนโยบาย
เป็นผู้บริหารสูงสุดขององค์การ (Top-Level Administrator) เท่านั้น
เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเอง
เป็นการกระทำในนามขององค์การมิใช่ในฐานะส่วนตัว

เนื่องจาก องค์การมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับชาติ ถึงระดับท้องถิ่น (ผู้บริหารขององค์การจึงมีหลายระดับ) นโยบายจึงต้องมีหลายระดับตามองค์การไปด้วย แต่ไม่ว่านโยบายจะเป็นในระดับใดผู้มีหน้าที่กำหนดนโยบายก็ต้องเป็นนักบริหารสูงสุดในระดับนั้นๆ นั้นเอง ส่วนบุคคลอื่นๆ ในองค์การไม่ว่าจะเป็นในระดับใดจะเป็นเพียงผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการนโยบายเท่านั้น

และนอกจากนี้ ผู้กำหนดนโยบายสาธารณะยังอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
ผู้กำหนดนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการ (Official Policy Makers) เช่น นายกรัฐมนตรี รัฐสภา เป็นต้น
ผู้กำหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ (Unofficial Policy Makers) เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ นักวิชาการ สื่อมวลชน

การศึกษาวิชานโยบายสาธารณะ นั้น มีจุดประสงค์ที่สำคัญคือ การทำความเข้าใจเหตุผลของการกำหนดนโยบาย เพื่อเป็นประโยชน์ในการนำนโยบายมาใช้ให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่ง Thomas R. Dye ได้ชี้ให้เห็นถึงเหตุผลในการศึกษานโยบายสาธารณะไว้ 3 ประการคือ
เหตุผลเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Reasons)
เหตุผลเชิงวิชาชีพ (Professional Reasons)
เหตุผลทางการเมือง (Political Reasons)

การศึกษานโยบายสาธารณะ นี้ เป็นลักษณะเป็นสหวิทยาการ คือต้องอาศัยความรู้จากหลายสาขามาประยุกต์

วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

นโยบายสาธารณะ และการวางแผน วัตถุประสงค์ และคำอธิบายรายวิชา

นโยบายสาธารณะและการวางแผน
Public Policy and planning
อาจารย์สุรชัย เจนประโคน

ศศ0213 3(3 – 0 – 6)


วัตถุประสงค์
1.มีความรู้ ความเข้าใจความหมาย ขอบข่ายของการศึกษานโยบายสาธารณะ
2.มีความเข้าใจแนวความคิดและกระบวนการนโยบายสาธารณะ ด้านการกำหนดนโยบาย การนำนโยบายไปปฏิบัติ การประเมินผลนโยบาย
3.สามารถวิเคราะห์ และอธิบายปัจจัยที่เกี่ยวข้องการกำหนดนโยบาย การวิเคราะห์นโยบาย การนำนโยบายไปปฎิบัติ
4.มีความรู้ความเข้าใจหลักการวางแผนเชิงกลยุทธ์ และแผนปฎิบัติการ
5.มีความเข้าใจความสัมพันธ์นโยบายรัฐบาลและท้องถิ่น

คำอธิบายรายวิชา
ศึกษาแนวความคิดและวิธีการในการกำหนดนโยบายสาธารณะและการวางแผนทฤษฏีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการตัดสินใจการกำหนดนโยบายสาธารณะและแผนงาน ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์นโยบายและแผนระดับของแผนขั้นตอนของการวางแผน การนำแผนไปปฏิบัติ การประเมินผลการปฏิบัติตามแผนงาน ปัญหาและอุปสรรคในการกำหนดนโยบายและการวางแผนโดยเน้นศึกษานโยบายและแผนงานที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
หนังสืออ่านเพิ่มเติม
สมบัติ ธำรงธัญวงค์.
2545. “นโยบายสาธารณะ แนวความคิด การวิเคราะห์ และกระบวนการ”
กรุงเทพมหานคร: สถาบัณบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
2539. “การเมืองกับการบริหาร.” วารสารพัฒนบริหารศาสตร์. ปีที่ 36
ฉบับที่ 1
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร
2538. วาทกรรมกับการพัฒนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2538. ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2549. รัฐ – ชาติ (ความไร้) ระเบียบโลกชุดใหม่. พิมพ์ครั้งที่ 2.
กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
2544. รัฐศาสตร์แนววิพากษ์. พิมพ์ครั้งที่ 2 แก้ไขเพิ่มเติม.
กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ชัยอนันต์ สมุทวณิช.
2523. การเมืองกับการบริหาร. กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์
2549. อารยะขัดขืน. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มูลนิธิ
โกมลคีมทอง.
สิทธิพันธ์ พุทธหุน
2543. แนวทางการศึกษารัฐศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
จิรโชค (บรรพต) วีระสัย
2546. รัฐศาสตร์ทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยรามคำแหง.


สร้อยตระกูล (ติวยานนท์) อรรถมานะ.
2527. ตัวแบบกระบวนการการติดต่อสื่อสาร. เอกสารทางวิชาการ
หมายเลข 30, ศูนย์วิจัยคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,
ตุลาคม 2527
2543. สาธารณบริหารศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพมหานคร: คณะ
รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จันทนี เจริญศรี
2545. Postmodern Sociology โพสต์โมเดิร์น สังคมวิทยา.
กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พิทยา บวรวัฒนา.
2545. รัฐประศาสนศาสตร์ ทฤษฏีและแนวการศึกษา (ค.ศ.1970 – ค.ศ.
1980). พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
2545. รัฐประศาสนศาสตร์ ทฤษฎีและแนวการศึกษา (ค.ศ.1887 – ค.ศ.
1970). พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
2545. ทฤษฏีองค์การสาธารณะ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วรเดช จันทรศร.
2528. การนำนโยบายไปปฏิบัติ : การสำรวจกรอบความรู้โดยสังเขป.
พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: คณะรัฐประศาสนศาสตร์
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์.
ฟริตจ๊อฟ คาปร้า.
2529. จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ : ทัศนแม่บทเพื่อการปฏิวัติวัฒนธรรม
แบบใหม่. พระประชาปสนมธมโนและคณะ, แปล 3 เล่ม.
กรุงเทพมหานคร.
ฉัตรทิพย์ นาถสุภา.
2534. แนวคิดวัฒนธรรมชุมชน. กรุงเทพ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.

โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes)

โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) (5 เมษายน พ.ศ. 2131 (ค.ศ. 1588) - 4 ธันวาคม พ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจากผลงานที่สำคัญคือหนังสือชื่อ Leviathan ที่เขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2194 หนังสือเล่มนี้กลายเป็นฐานประเด็นในแนวปรัชญาการเมืองตะวันตกในสมัยต่อมาในเกือบทุกแนว
ถึงแม้ว่าทุกคนได้รู้จักโทมัส ฮอบส์จากงานเขียนกี่ยวกับปรัชญาการเมืองตะวันตกก็จริง แต่ที่จริงแล้วฮอบส์ได้สร้างผลงานที่เป้นประโยชน์ไว้อีกหลายด้าน เช่น ประวัติศาสตร์ เรขาคณิต เทววิทยา จริยธรรม รวมทั้งด้านปรัชญาทั่วๆ ไปอีกหลายเรื่อง และที่เป็นที่รู้จักในปัจจุบันว่า รัฐศาสตร์ (political science) นอกจากนี้สิ่งที่ฮอบบส์เชื่อที่ว่า "มนุษย์นั้นโดยธรรมชาติมีการร่วมมือกันก็โดยมุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว" ซึ่งข้อคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ในทฤษฎีของ ปรัชญามานุษยวิทยาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน

ชีวิตในวัยเยาว์และการศึกษา
โทมัส ฮอบส์ เกิดที่วิลท์ไชร์ ประเทศอังกฤษ เป็นบุตรของพระราชาคณะแห่งชาร์ลตัน และ เวสต์พอร์ตซึ่งหนีออกจากประเทศอังกฤษเนื่องจากการกลัวโทษแขวนคอและปล่อยลูก 3 คนทิ้งไว้ให้พี่ชายชื่อฟรานซิสดูแล ฮอบบส์ได้เข้าเรียนในโรงเรียนโบสถ์ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ และเรียนต่อในชั้นที่สูงขึ้นตามลำดับ ฮอบส์เป็นนักเรียนดีและได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่เฮิร์ทฟอร์ดคอลเลจ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดเมื่อ พ.ศ. 2146 ที่มหาวิทยาลัย ฮอบส์ได้เป็นครูกวดวิชาให้กับบุตรชายของวิลเลียม คาเวนดิช บารอนแห่งฮาร์ดวิกซึ่งกลายเป็นมิตรภาพกับครอบครัวนี้อย่างต่อเนื่องกันไปชั่วชีวิต
ฮอบบส์กลายเป็นคู่หูของวิลเลียมผู้เยาว์ ได้ร่วม "การท่องเที่ยวครั้งใหญ่" (en:Grand tour -ประเพณีของคนอังกฤษชั้นสูงวัยหนุ่มระหว่างประมาณ พ.ศ. 2200 - พ.ศ. 2360 เพื่อท่องยุโรปแผ่นดินใหญ่เพื่อเรียนรู้ แสวงหาและสัมผัสกับปรัชญาและวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ที่รุ่งเรืองในที่นั้น) ฮอบบส์ได้สัมผัสกับวิทยาศาสตร์และวิธีการคิดเชิงวิฤติของยุโรปซึ่งแตกต่างกับ "ปรัชญาเชิงอัสสมาจารย์" (scholastic philosophy) ที่ได้เขาเคยเรียนที่ออกซ์ฟอร์ดซึ่งมุ่งเรียนอย่างจริงจังทางกรีกคลาสสิกและละติน
แม้ว่าฮอบส์จะมีโอกาสได้คลุกคลีกับนักปรัชญามีชื่อเช่น เบน จอนสัน และ ฟรานซิส เบคอนมานานแต่ก็ไม่ได้สนใจด้านปรัชญาจนกระทั่งถึงหลังจาก พ.ศ. 2172 คาเวนดิชซึ่งได้เลื่อนเป็นเอร์ลแห่งเดวอนไชร์ผู้เป็นนายจ้างฮอบส์ได้เสียชีวิตเมื่อ พ.ศ. 2171 และภริยาหม้ายของคาเวนดิชได้บอกเลิกจ้างเขา แต่ในเวลาต่อมาฮอบบส์ก็ได้งานใหม่เป็นครูกวดวิชาให้กับลูกของเซอร์เกอร์วาส คลิฟตันซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในปารีสและจบลงเมื่อ พ.ศ. 2174 เนื่องจากการได้พบกับครอบครัวคาเวนดิชอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นงานกวดวิชาให้กับลูกชายของนักเรียนเก่า ในช่วงต่อมาอีก 7 ปี ฮอบส์ได้เพิ่มพูนความรู้ด้านปรัชญาไปพร้อมกับงานกวดวิชาซึ่งทำให้เขาเกิดความอยากรู้อยากอภิปรายเกี่ยวปรัชญามากขึ้นและได้กลายเป็นนักอภิปรายปรัชญาหลักที่เป็น "ขาประจำ" ในยุโรป และจากปี พ.ศ. 2180 เป็นต้นมา ฮอบส์ได้ถือว่าตนเองเป็นนักปรัชญาและผู้รอบรู้
ที่ปารีสที่ปารีสฮอบส์ได้ศึกษาลัทธิปรัชญาในหลายๆ ด้านและได้ทดลองเข้าถึงปัญหาด้วยแนวทางฟิสิกส์ ได้พยายามไปถึงการวางระบบความคิดที่ละเอียดบรรจงขึ้นซึ่งได้กลายเป็นงานที่ฮอบบ์ได้อุทิศชีวิตให้ ฮอบส์ได้ทำศาสตรนิพนธ์หลายเรื่อง เช่นเกี่ยวกับลัทธิที่เป็นระบบเกี่ยวกับร่างกายเพื่อแสดงให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางกายภาพสามารถอธิบายอาการเคลื่อนไหวได้อย่างไร ฮอบบ์ได้แยกเอา มนุษย์ ออกจากอาณาจักรของธรรมชาติและพืชพรรณ ในอีกศาสนตรนิพนธ์หนึ่ง ฮอบบ์ได้แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวเฉพาะบางอย่างของร่างกายเนื่องมาจากผลของปรากฏการณ์ผัสสาการ (ศัพท์ปรัชญา = sensation) ความรู้ วิภาพ (ความชอบ = affection) และกัมมภาวะ (ความดูดดื่ม, กิเลส = passion) และสุดท้ายในศาสตรนิพนธ์อันลือชื่อ ฮอบบ์แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกผลักดันเข้าสังคมได้อย่างไรและตั้งประเด็นว่าจะต้องออกกฎระเบียบใช้บังคับหากไม่ต้องการให้มนุษย์ต้องตกสู่ "ความเหี้ยมโหดและความทุกข์ระทม" ทำให้ฮอบบ์เสนอการรวมปรากฏการณ์ที่ว่าแยกกันของ ร่างกาย" มนุษย์และ รัฐ เข้าเป็นหนึ่งเดียว
โทมัส ฮอบบ์กลับบ้านเมื่อ พ.ศ. 2180 ในขณะที่อังกฤษกำลังเกิดสงครามกลางเมืองสู้กันระหว่างบิชอปซึ่งมีผลกระทบต่องานศึกษาค้นคว้าทางปรัชญา แต่ฮอบส์ก็สามารถเขียนศาสตรนิพนธ์เรื่อง "Human Nature" และ "De Corpore Politico" แล้วเสร็จและตีพิมพ์ร่วมกันภายหลังใน 10 ปีต่อมาในชื่อ "The Element Of Law"
ในปี พ.ศ. 2183 ฮอบส์ได้หนีกลับไปฝั่งเศสอีกครั้งด้วยรู้ว่าการเผยแพร่ศาสตรนิพนธ์ที่เขาเขียนขึ้นกำลังให้ร้ายแก่ตัวเอง คราวนี้ฮอบส์ไม่ได้กลับบ้านอีกเป็นเวลา 11 ปี ฮอบส์ได้เขียนหนังสืออื่นๆ อีกหลายเล่มเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง เขาเกิดในยุคเดียวกับ เดส์การตส์ และเขียนบทวิจารณ์ตอบบทหนึ่งของหนังสือ "การครุ่นคิด" ของเดส์การตส์ซึ่งตีพิมพ์เมื่อพ.ศ. 2184 งานเขียนหลายๆ เรื่องของฮอบส์ได้ส่งให้เขามีชื่อเสียงมากขึ้นในวงวิชาการด้านปรัชญา
"เลอไวอะทัน" (Leviathan) (พ.ศ. 2194) เป็นศาสตรนิพนธ์ชิ้นเอกด้านปรัชญาทางการเมืองที่ฮอบส์ใช้เผยแพร่ "ลัทธิพื้นฐานของสังคมกับรัฐบาลที่ชอบธรรม" ซึ่งเนื้อหาของหนังสือนี้ได้กลายเป็นต้นตำหรับของงานวิชาการทางปรัชญาด้าน "สัญญาประชาคม" และในหนังสือ "สภาวะตามธรรมชาติของมวลมนุษย์" ในเวลาต่อมา ซึ่งว่าในขณะที่คนๆ หนึ่งที่อาจแข็งแรงหรือฉลาดกว่าใครๆ แต่เมื่อกำลังจะถูกฆ่าให้ตาย ในฐานะมนุษย์ตามสภาวะตามธรรมชาติ เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะต่อสู้ทุกวิถีทาง ฮอบส์ถือว่าการต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อเอาชีวิตรอดจากสิ่งใดก็ตามในโลกเป็นสิทธิ์และความจำเป็นตามธรรมชาติของมนุษย์
เลอไวอะทันเป็นงานที่ฮอบส์เขียนขึ้นในระหว่างความยากลำบากของสงครามกลางเมืองของอังกฤษที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงที่มีการเรียกร้องให้มีรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ลงรอยที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง มีการยอมให้ใช้อำนาจมากไปบ้างเพื่อรักษาสันติภาพ ด้วยสภาวะความยุ่งเหยิงทางการเมืองขณะนั้นทำให้ทฤษฎีทางการเมืองของฮอบส์ที่ว่า องค์อธิปัตย์ หรือ อำนาจอธิปไตยควรมีอำนาจในการควบคุมพลเรือน ทหาร ตุลาการ และศาสนาได้รับการยอมรับ
ฮอบส์แสดงออกมาอย่างเปิดเผยว่าองค์อธิปัตย์จะต้องมีอำนาจครอบคลุมไปถึงศรัทธาและลัทธิ และว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้นย่อมเป็นการนำไปสู่ความแตกแยกในที่สุด
ฮอบบีเซียน (Hobbesian)คำว่า ฮอบบีเซียน ในภาษาอังกฤษสมัยใหม่บางครั้งหมายถึงสถานการณ์ของการแข่งขันที่ไม่มีการควบคุม มีแต่ความเห็นแก่ตัวและไร้อารยธรรม เป็นความหมายที่นิ่งแล้ว แต่ก็เพี้ยนไม่ตรงความเป็นจริงด้วยเหตุผล 2 ประการคือ ประการแรกเลอไวอะทันได้พรรณาสถานการณ์นี้ไว้จริงแต่เพื่อเพียงใช้สำหรับการวิจารณ์ อีกประการหนึ่งฮอบส์และเป็นหนอนหนังสือเป็นกระดากที่จะชี้แจง อีกความหมายหนึ่งที่ใช้เกือบทันทีหลังการตีพิมพ์คือ "อำนาจคือธรรม"
ชีวิตบั้นปลายฮอบส์ได้พยายามตีพิมพ์ผลงานด้านคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ที่ไม่ค่อยดีนักไปพร้อมๆ กับงานด้านปรัชญา ในช่วงของ ยุคปฏิสังขรณ์ (The Restoration) (การฟื้นฟูราชวงศ์อังกฤษ ราชวงศ์สกอตแลนด์ และราชวงศ์ไอร์ริชโดยพระเจ้าชาร์ลที่ 2 กษัตริย์หนุ่มของอังกฤษ) ชื่อเสียงของฮอบส์ได้โด่งดังขึ้นจนพระเจ้าชาร์ล ที่ 2 ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของฮอบส์เมื่อครั้งยังเป็นปรินซ์ออฟเวลล์ลี้ภัยอยู่ในปารีสจำได้ จึงมีรับสั่งให้ฮอบส์เข้ารับราชการในราชสำนักและพระราชทานบำนาญแก่ฮอบส์ปีละ 100 ปอนด์
พระเจ้าชาร์ลต้องช่วยปกป้องฮอบส์จากการถูกกล่าวหาว่าเขียนหนังสือหมิ่นศาสนาและไม่ยอมรับว่าพระเจ้ามีตัวตนจากซึ่งเกิดจากความพยายามของรัฐสภาที่จะออกกฎหมายเพื่อเอาผิดฮอบส์ แม้จะเอาผิดฮอบส์ไม่ได้ แต่ก็มีผลทำให้ฮอบส์ไม่กล้าตีพิมพ์งานของเขาในอังกฤษอีก
ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2222 ฮอบส์ป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ตามด้วยภาวะเส้นเลือดในสมองแตกจนเป็นอัมพาต ฮอบส์เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมปีนั้น ด้วยวัย 91 ปี ศพได้รับการฝังที่สนามของโบสถ์อัลท์ฮักนาล ในเดวอนไชร์ ประเทศอังกฤษ
โทมัส ฮอบส์ มีอายุยืนยาวมาก มีชีวิตอยู่ตรงกับระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระเพทราชาในสมัยอยุธยาซึ่งในช่วงนั้นมีกษัตริย์อยุธยาครองราชย์รวมแล้วถึง 12 รัชกาล

จอห์น ล็อก (John Locke)

จอห์น ล็อก
จอห์น ล็อก (John Locke) (29 สิงหาคม พ.ศ. 2175-28 ตุลาคม พ.ศ. 2247) เป็นนักปรัชญา ชาวอังกฤษ ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 17 ความสนใจหลักของเขาคือสังคมและทฤษฎีของความรู้
แนวคิดของล็อกที่เกี่ยวกับ "ผู้ปกครองที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใต้ปกครอง" และสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ ที่เขาอธิบายว่าประกอบไปด้วย ชีวิต, เสรีภาพ, และทรัพย์สิน นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการทางปรัชญาการเมือง แนวคิดของเขาเป็นพื้นฐานของกฎหมายและรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งผู้บุกเบิกได้ใช้มันเป็นเหตุผลของการปฏิวัติ
แนวคิดด้านญาณวิทยาของล็อกนั้นมีอิทธิพลสำคัญไปจนถึงช่วงของยุคแสงสว่าง. เขามีทัศนะเกี่ยวกับทฤษฎีความรู้ว่า ความรู้จะต้องเกิดหลังประสบการณ์ และความรู้จะเกิดขึ้นโดยอาศัยการสัมผัส เมื่อมนุษย์ได้สัมผัสก็จะมีความรู้สึก และความรู้สึกจะทำให้มนุษย์นั้นคิด และความคิดนี้คือแหล่งกำเนิดแห่งความรู้ หากปราศจากการสัมผัสมนุษย์ก็จะไม่คิด เพราะจิตโดยธรรมชาติจะมีสภาพอยู่เฉย. เขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับนักประสบการณ์นิยมชาวบริติช ซึ่งประกอบไปด้วยเดวิด ฮูม และจอร์จ บาร์กลีย์. ล็อกมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโทมัส ฮอบบส์

สตรีนิยม

สตรีนิยม
สตรีนิยม คือกลุ่มสังคม และกลุ่ม การเมือง ที่ออกมาเคลื่อนไหว. สตรีนิยมออกมาเพื่อเปลี่ยนแปลงมุมมองของผู้คนที่มองชายและหญิงอย่างแตกต่างกัน สตรีนิยมกล่าวว่าผู้หญิงถูกกระทำโดยสังคมในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และต้องหยุดเดี๋ยวนี้ ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวในสังคมคือ นักเคลื่อนไหวสตรีนิยม
3 มุมมองสำคัญของสตรีนิยม:
กลุ่มแรกเชื่อว่าเราควรกระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เท่าเทียมกันในสังคมระหว่างชายและหญิง เพราะผู้คนไม่ควรนำเรื่องเพศมาแบ่งแยก อีกทั้งเพราะชายกับหญิงนั้นแทบไม่แตกต่างกันเลย วัฒนธรรมที่ให้ผู้ชายไปทำงานและผู้หญิงทำงานบ้านเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่ผิดอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มที่สองเชื่อว่าชายกับหญิงนั้นแตกต่างกัน แต่ความแตกต่างนั้นก็ไม่ควรนำไปสู่การปฏิบัติที่เอนเอียง วัฒนธรรมที่ให้ผู้ชายไปทำงานและผู้หญิงทำงานบ้านเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่อาจจะถูกแต่รัฐ หรือผู้ชายก็ควรที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่นดูแลผู้หญิงที่ทำงานอยู่กับบ้านให้ดีขึ้น
กลุ่มที่สามเชื่อว่าผู้หญิงกับผู้ชายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และสังคมทุกวันนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงกลุ่มนี้เชื่อว่าสังคมในวันนี้ถูกขับเคลื่อนโดยผู้ชาย ซึ่งให้ผู้หญิงอยู่ตามหลัง ดังนั้นควรจะมีการปฏิวัติเพื่อให้ทั้งสองเพศเท่าเทียมกัน
ประวัติศาสตร์ของสตรีนิยม
แมรี่ วูลสโตนคราฟ
สตรีนิยมมีแนวคิดนี้ตั้งแต่เรื่องสิทธิของบุคคล. แนวคิดนี้ทันสมัยมากในสมัยนั้นโดยนักปรัชญา ในศตวรรษที่ 18 และศตวรรษที่ 19 เช่น แมรี่ วูลสโตนคราฟ จอน สจ็วต มิล. หลังจากนั้นในศตวรรษที่20 ก็มีกลุ่มมากมายที่เรียกร้องให้ผู้หญิงมีสิทธิในการเลือกตั้ง ในหลักประชาธิปไตยจนในปัจจุบันหลายประเทศได้มีนายกรัฐมนตรี และประธานาธบดีที่เป็นผู้หญิง
ทำไมบางคนถึงคัดค้านสตรีนิยม
บางคนคิดว่าถ้าสตรีนิยมเกิดขึ้นอย่างจริงจัง สังคมจะอ่อนแอ อีกทั้งอาจจะเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เป็นในคัทภีร์ไบเบิ้ล พระเจ้าสร้างอดัมก่อน และจึงสร้างอีฟ ให้แก่อดัม ผู้คนจึงคิดว่านั่นหมายความว่า พระเจ้าสร้างผู้หญิงมาเพื่อผู้ชาย ผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ เป็นผู้นำไม่ได้ และข้อถกเถียงนี้ก็ยังดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเป็นปัญหา (contestability) ของศัพท์ คำว่า "การเมือง"

ความเป็นปัญหา (contestability) ของศัพท์ คำว่า “การเมือง” และคำที่มีปัญหาอื่นๆ อยู่ที่เป็นคำที่มีความสลับซับซ้อนภายในตัวเองสูง ส่วนย่อย ต่างๆ ที่มาประกอบกันเป็นความหมายของคำ คำที่มีต่างอิสระ มีความหมายเฉพาะของตัวเอง ทำให้เกิดการตีความ การใช้ในความหมายที่แตกต่างกันไปและทำให้การสร้างนิยามเชิงปฎิบัติการของคำเหล่านี้เป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ ยกเว้นเป็นการเก็บกดปิดกั้นความหลากหลายและความสลับซับซ้อนของสิ่งเหล่านี้ไว้ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “คำนิยาม” การเมืองของภาษาอย่างกรณีของศัพท์คำว่า “การเมือง” จึงอยู่ที่การต่อสู้เพื่อปรับเปลี่ยนหรือรักษานิยาม ความหมายของสิ่งนี้ไว้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงไม่หน้าแปลกใจที่ในระบบทุนนิยมเราจะเห็นว่าความหมายของการเมืองถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าใกล้กับพฤติกรรมและวิถีชีวิตของบรรดานักธุรกิจและบรรษัทธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ
มโนทัศน์ที่มีความชัดแจนไม่มีการโต้แย้งถกเถียง เป็นมโนทัศน์ที่แห้งแล้ง ตายซาก ไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีบทบาทหน้าที่ใดในสังคม แต่ทันทีที่มีการใช้มโนทัศน์ดังกล่าว การโต้แย้งถกเถียงก็เกิดขึ้น ศัพท์การเมืองคือคำที่เปิดให้มีการโต้แย้งถกเถียง การโต้แย้งถกเถียงเกี่ยวกับความหมายของศัพท์การเมืองในตัวเองก็คือการเมืองแบบหนึ่ง เนื่องจากความเป็นความหมายที่เราต้องการหว่านล้อมคนอื่นให้เห็นด้วย จึงเป็นการต่อสู้เพื่อให้คนอื่นยอมรับในการใช้ดุลยพินิจตัดสินของเรา พร้อมส่งเสริมการกระทำบางอย่างที่เป็นไปตามครรลองของความหมายนั้นด้วย

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

อุดมการณ์ทางการเมือง (Political ideology)

อุดมการณ์ทางการเมือง (Political ideology) แนวความคิดทางการเมืองที่นำไปปฏิบัติจริง มีอิทธิพลต่อกระบวนการทางการเมือง ตลอดจนการใช้อำนาจรัฐ และกาให้ความชอบธรรมแก่รัฐบาล นอกจากนี้ยังสะท้อนสภาพของสังคมและวัฒนธรรมทางการเมืองของแต่ละชุมชน
อุดมการณ์ทางการเมืองจะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ
1. ลักษณะที่ชัดเจน
2. ประติดประต่อกัน
3. เป็นระบบ
ในแง่มุมนี้อุดมการณ์ก็คือความคิดชุดหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง หรือการปกป้องโครงสร้างของการเมืองที่อยู่ รวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้อง จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกระจายอำนาจทางการเมือง และมีลักษณะเป็นข้อถกเถียงเชิงบรรทัดฐานที่สนับสนุนโครงสร้างปฏิรูป หรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น อุดมการณ์จึงมิใช่เป็นเพียงปรัชญาการเมือง อุดมการณ์ทางการเมืองจะเรียกร้องให้มีการกระทำ อุดมการณ์ทางการเมืองมักจะเชื่อมโยงกลุ่มคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ